ช่วงนี้หันไปทางไหนก็จะเจอแต่ร้าน “หม่าล่าหม้อไฟ” เต็มไปหมด ด้วยรสชาติความอร่อยของน้ำซุปที่ให้ความรู้สึกเผ็ดชาอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้กระแสหม่าล่าหม้อไฟของจีนได้รับความนิยมในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ
หม่าล่า (麻辣) หมายถึง รสชาติของเมนูที่ใส่เครื่องเทศนี้เข้าไป ตามความหมายของอักษรสองตัว คือ 麻 หม่า ที่แปลว่า “ชา” และ 辣 ล่า ที่แปลว่า “เผ็ด” รวมแล้วเมนูนี้จะให้รสที่เผ็ดและชา ซึ่งทั้งสองรสนี้มาจากเครื่องเทศชื่อว่า “ฮวาเจียว” (花椒) เป็นการผสมผสานกันระหว่างเปลือกของเมล็ดพริกไทยเสฉวน (Sichuan Peppercorn) นำไปบดรวมกับเครื่องเทศชนิดอื่น เช่น โป๊ยกั๊ก กานพลู อบเชย ผักชีล้อม (เฟนเนล) ยี่หร่า และพริก แล้วผัดกับน้ำมันเพื่อให้ได้รสชาติที่เผ็ด ชา มัน เค็ม มากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ถือว่าถูกปากคนไทยจำนวนไม่น้อย ทำให้หลายคนเลือกที่จะซดน้ำซุปหม่าล่าเข้าไปด้วย
แต่รู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วการรับประทานหม่าล่าของคนจีนจะไม่ได้ซดน้ำซุปเข้าไปด้วย เป็นเพียงแค่การนำเนื้อสัตว์หรือผักลงไปลวกในซุปหม่าล่าเท่านั้น ก็จะทำให้ได้ลิ้มรสชาติของหม่าล่าแล้ว แต่ถ้าต้องการเติมน้ำซุปเพิ่มขณะรับประทาน ที่ประเทศจีนจะเติมเป็นซุปใสหรือน้ำชาเพิ่มลงไป เพราะด้วยวัตถุดิบของเครื่องเทศที่เข้มข้น หากเพิ่มซุปหม่าล่าเข้าไปอีกก็จะยิ่งทำให้รู้สึกเผ็ด ชา แสบ ร้อน มากยิ่งขึ้น ส่งผลเสียต่อระบบลำไส้ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน แสบร้อนกลางอก ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายความว่าจะห้ามคุณรับประทานหม่าล่าเลยโดยเด็ดขาด เนื่องจากหม่าล่ามีส่วนประกอบของเครื่องเทศจำนวนมาก ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพเช่นกัน ดังนั้นควรรับประทานในปริมาณที่พอดีและรับประทานอย่างถูกวิธี ตามคำแนะนำในการรับประทานหม่าล่าหม้อไฟของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ สำหรับสายกินทั้งหลายที่ชอบรับประทานหม่าล่า หรือไม่ว่าจะเป็นเมนูใดก็ตาม ควรคำนึงถึงสุขภาพของคุณในระยะยาวด้วย นอกจากนี้ การมีประกันสุขภาพก็สำคัญเช่นกัน เพื่อให้คุณมั่นใจในการรักษา เมื่อเกิดเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากการรับประทานอาหาร